โดยทีมงานเอ็นเทรนนิ่ง 13 กันยายน 2561 5,339 0
หน้าแรก / ห้องสมุดเอ็นเทรนนิ่ง / บทความหมวด ทั่วไป / รามาจับพีระมิดของมาสโลว์กลับหัวกันเถอะ ตอนจบ
25 ต.ค. 2561 อ่าน 2,772 หมวด ทั่วไป
13 พ.ย. 2561 อ่าน 1,811 หมวด ทั่วไป
13 พ.ย. 2561 อ่าน 3,207 หมวด ทั่วไป
24 ธ.ค. 2561 อ่าน 2,050 หมวด ทั่วไป
7 ม.ค. 2562 อ่าน 4,808 หมวด ทั่วไป
29 เม.ย. 2562 อ่าน 2,864 หมวด ทั่วไป
เรามาต่อเนื่องจากตอนที่แล้วกันเลยนะครับ เมื่อผมได้มีโอกาสอ่านประวัติความเป็นมาของ อับบราฮัม มาสโลว์ และเส้นทางชีวิตของเขาทั้งหมดแล้ว กลับรู้สึกประหลาดใจว่าแท้จริงแล้วตัวของเขาเองก็ไม่ได้มีความต้องการที่เป็นไปตามทฤษฎีความต้องการของมนุษย์อันลือลั่นของเขาเองเลย มาสโลว์มาจากครอบครัวเร่ร่อนที่ยากจน จากวัยเด็กจนถึงวัยรุ่น มาสโลว์พยายามทำตามความต้องการของพ่อแม่ด้วยการเรียนหนังสือไปตามขั้นตอนที่พ่อแม่อยากให้เรียนแต่ก็เป็นไปด้วยความขมขื่น เพราะเป็นเด็กยิวท่ามกลางเด็กอเมริกัน มันเหมือนกับจับแกะดำไปไว้ท่ามกลางฝูงแกะขาว มาสโลว์เลยโดดเดี่ยวไม่สุงสิงกับใคร ใช้เวลาหมดไปกับการอยู่ในห้องสมุด ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการสังคม หรือไม่ต้องการที่จะได้รับความรักจากเพื่อนรอบข้างตามทฤษฎีความต้องการขั้นที่สามของเขา เพียงแต่ว่าถ้าเขารอได้ความต้องการตามขั้นที่สามอย่างที่ทฤษฎีกล่าวไว้ก่อนแล้วค่อยมีความต้องการที่มากกว่านั้น ป่านนี้มันก็คงจะติดเบรกชีวิตความสำเร็จของเขาอยู่แค่นั้นไปแล้ว เพราะการได้ความต้องการจากสังคม ความรักจากเพื่อนรอบข้างมันยังคงเป็นด่านที่หินสำหรับเขาอยู่พอสมควรกับสถานะของครอบครัวในตอนนั้น มาสโลว์จึงมีความมุ่งมั่นที่มากกว่านั้น คือหยิบความต้องการสูงสุดมาเป็นเป้าหมาย มีความต้องการที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างที่ใจปรารถนาเลย เพราะถ้าเขาสามารถทำตามความต้องการตนเองอย่างแท้จริงแล้ว ซึ่งเป็นความต้องการขั้นสูงสุดตามทฤษฎีของเขา นั่นเท่ากับว่าเขาจะได้ความต้องการทั้งหมดตั้งแต่ฐานล่างไล่ขึ้นย้อนขึ้นมาตามความต้องการแต่ละขั้นรวมทั้งขั้นที่เขาไม่เคยทำได้ เขาจะได้มันมาทั้งหมดในทันที มาสโลว์ได้ละทิ้งวิชากฎหมายที่เรียนมาตั้งนานเพื่อมุ่งไปยังสายมนุษย์วิทยาอย่างเต็มที่ แล้วทำให้ตัวเองเป็นสุดยอดในสายวิชานั้นให้ได้ แล้วเขาก็ทำได้ตามอย่างที่ต้องการจริงๆ โดยเรียนจบถึงปริญญาเอก และมีผลงานทางวิชาการมากมาย หลังจากนั้นความต้องการตามทฤษฎีของเขามันจึงค่อยๆเกิดขึ้นแบบไล่จากบนลงล่าง นั่นก็คือเขากลายเป็นคนมีชื่อเสียง สังคมเข้ามาหาเขา โดยที่เขาไม่ต้องพยายามเข้าหาสังคม มาสโลว์สามารถซื้อความปลอดภัยในชีวิตได้จากความเป็นคนยิวที่ถูกดูแตกต่างมาตลอด และแน่นอนปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีวิตของเขาก็มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นตามมา
ทั้งหมดที่ผมกล่าวมานี้เพียงแค่ต้องการจะบอกว่า คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตจากสองมือสองเท้าของตัวเอง 100% คงไม่ได้ปล่อยให้ความต้องการของตัวเองเป็นไปตามระดับขั้นอย่างทฤษฎีของมาสโลว์แน่นอน เขาจะมีความฝัน ความปรารถนาในใจก่อน แล้วกำหนดเป้าหมายให้มันชัดลงไป ซึ่งมันก็คือความต้องการขั้นสูงสุดนั่นเอง (Self-Actualization Need) คนที่มีความต้องการตามลำดับขั้นของมาสโลว์จาก 1-5 ก็คือคนทั่วไปที่เป็นส่วนใหญ่จริงๆ เพราะคนที่ประสบความสำเร็จจนได้ชีวิตในรูปแบบที่ต้องการจริงๆคือคนแค่ไม่กี่คน ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนรวยล้นฟ้าแล้วจะอยู่ในขั้นสูงสุดของทฤษฎีมาสโลว์นะครับ เพราะการที่จะสามารถได้ความต้องการในแบบที่เข้าใจตนเองอย่างแท้จริง (Self-Actualization Need) ได้ มันจะก้าวข้ามความรวยกับความจนไปอีกขั้น ชาวบ้านบางคนได้ใช้ชีวิตในรูปแบบที่เลือกได้ (Lifestyle) บางทีอาจจะมีเงินเพียงแค่พออยู่พอกินก็ได้ แต่ปรารถนาอยากใช้ชีวิตที่ไม่เป็นหนี้ใคร มีแค่บ้าน ที่ดินไว้เลี้ยงสัตว์ เพาะปลูก ไม่ต้องเป็นเจ้านายใคร ไม่ต้องเป็นลูกน้องใคร มีชีวิตที่อิสระตามที่ใจอยากให้เป็น ก็ถือว่าเขาได้ความต้องการที่สูงสุดตามทฤษฎีของมาสโลว์เช่นกัน ถ้านิยามของ Self-Actualization Need เป็นไปดังที่มาสโลว์ได้บอกไว้ นั่นก็เท่ากับว่าชาวบ้านคนนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังอะไร
เพราะฉะนั้นในอีกมุมมองหนึ่ง ถ้าความต้องการของคนเราไม่ได้จดจ่อแบบก้าวไปทีละขั้น 1 – 5 อย่างที่ทฤษฎีความต้องการของมาสโลว์บอกไว้ แต่เรากลับหัวพีระมิดแห่งความต้องการของมาสโลว์ให้มันคว่ำลง ซึ่งจะได้ตามภาพข้างล่างนี้
ถ้าความต้องการของมนุษย์ในขั้นที่ 1 มันคือความต้องการของคนส่วนใหญ่ ก็แสดงว่ามันเป็นความต้องการที่หาได้ง่ายที่สุด แต่ก็ทำให้ชีวิตมีคุณค่าน้อยที่สุดเช่นกัน ทำไมเราไม่เริ่มค้นหาความต้องการจากสิ่งที่เราปรารถนาจะสำเร็จในชีวิตจริงๆซะ แม้มันจะยังไม่มีอยู่จริงในปัจจุบัน แต่ถ้าไม่ต้องการก่อน แล้วเราจะได้มันมาได้อย่างไร นั่นก็เท่ากับว่าเราไม่สามารถจินตนาการความสำเร็จไว้ที่ปลายทางของเราได้เลย การที่เราปล่อยให้ตัวเองมีความต้องการไปทีละขั้นๆ นั่นเป็นแค่ความต้องการตามสถานะเท่านั้นเอง การคิดว่าถ้าไม่มีปัจจัยสี่ให้พร้อมก่อน ก็จะไม่มีความต้องการที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต ถือว่าเป็นความคิดที่อันตรายมากๆ เพราะคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างที่ใจต้องการเท่านั้นที่มีความต้องการขั้นสูงสุดก่อน แล้วจึงค่อยทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ได้ชีวิตแบบนั้น ส่วนความสำเร็จในความต้องการของขั้นอื่นๆ มันก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายที่จะเกิดขึ้นตามมาเอง
ถ้าเจ้าสัวผู้ร่ำรวยที่มีอดีตโล้สำเภามาจากเมืองจีน มาอยู่เมืองไทยแบบเสื่อผืนหมอนใบ ไม่มีบ้าน กินมื้ออดมื้อ เสื้อผ้าก็เก่าไม่พอใส่ ถ้าเจ้าสัวเหล่านั้นมีความต้องการเพียงแค่ทำอย่างไรก็ได้ เพื่อให้ตัวเองมีในสิ่งที่ขาดก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยมีความต้องการที่จะมีอะไรที่ดีขึ้นกว่านี้ ก็คงไม่มีทางประสบความสำเร็จเป็นมหาเศรษฐีกันอย่างทุกวันนี้ ในมุมมองนี้ผมมั่นใจว่าคนเหล่านี้มีความต้องการของมนุษย์แบบพีระมิดของมาสโลว์ แต่กลับหัวลง คือมีเป้าหมายในชีวิตที่ตัวเองต้องการก่อน โดยไม่สนใจว่าตอนนี้เป็นอย่างไร จนแค่ไหน ไม่พร้อมแค่ไหน หรือต้องทำให้ชีวิตพื้นฐานดีก่อนหรือไม่แล้วจึงค่อยกล้าฝันในสิ่งที่ต้องการจริงๆ คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยตัวเองทุกคน ล้วนสร้างความการที่สูงสุดตามที่ชีวิตอยากได้รอไว้เลย ที่เหลือก็แค่หาทางไปเอาวิถีชีวิต (Lifestyle) แบบที่ต้องการนั้นมาให้ได้ แล้วคุณล่ะมีวิถีชีวิตต้องการอย่างแท้จริงแล้วหรือยัง
25 ต.ค. 2561 อ่าน 2,772 หมวด ทั่วไป
13 พ.ย. 2561 อ่าน 1,811 หมวด ทั่วไป
13 พ.ย. 2561 อ่าน 3,207 หมวด ทั่วไป
24 ธ.ค. 2561 อ่าน 2,050 หมวด ทั่วไป
7 ม.ค. 2562 อ่าน 4,808 หมวด ทั่วไป
29 เม.ย. 2562 อ่าน 2,864 หมวด ทั่วไป
หมวด Leadership อ่าน 5,174
หมวด Leadership อ่าน 3,790
หมวด Leadership อ่าน 5,991
หมวด Softskill อ่าน 5,222
หมวด หลักสูตรเฉพาะวิทยากร (Other) อ่าน 19,373
หมวด Softskill อ่าน 5,578
หมวด Advance Leadership อ่าน 3,576
หมวด Advance Leadership อ่าน 2,930